บทความวันนี้เรามี 5 เทคนิคดีๆ มาฝากกันเกี่ยวกับการเลือกแผ่นซับเสียงให้เหมาะสมกับการอัดเสียง ไม่ว่าจะเป็นการอัดพอดแคสต์ การร้องเพลง แคสเกมส์ สตรีมเกมส์ หรือการบันทึกเสียงต่างๆ การเลือกแผ่นซับเสียงที่ดีจะช่วยให้คุณภาพเสียงออกมาดี ไร้เสียงก้อง เสียงสะท้อน และได้เสียงที่คมชัด สร้างสรรค์งานให้มีความเป็นมืออาชีพ แต่จะเลือกแผ่นซับเสียงอย่างไรให้เหมาะสมและตรงตามการใช้งาน?

เราจึงเขียนบทความนี้มาแชร์ 5 เทคนิคเด็ดๆ ที่จะช่วยให้คุณเลือกแผ่นซับเสียงได้อย่างมืออาชีพ! พร้อมแล้วไหม? ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง รับรองว่าอ่านจบแล้วจะได้ความรู้ดีๆ ไปปรับใช้กับการอัดเสียงของคุณอย่างแน่นอน เราไปดูกันเลย!

 

สารบัญ

เลือกวัสดุแผ่นซับเสียงให้เหมาะกับการใช้งาน

[รูป]

การเลือกวัสดุแผ่นซับเสียงให้เหมาะกับการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีตามต้องการ วัสดุแผ่นซับเสียงยอดนิยมที่เรามักเห็นกันบ่อยๆ ได้แก่ อคุสติกโฟมโฟม ใยแก้ว และแผ่นแร่ใยหิน แต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป

อคุสติกโฟม

– เป็นวัสดุที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะราคาไม่แพง น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย แต่อาจมีข้อจำกัดในการดูดซับเสียงความถี่ต่ำ เหมาะสำหรับใช้ในห้องขนาดเล็ก เช่น ห้องอัดเสียงส่วนตัว หรือมุมพักผ่อนส่วนตัวในบ้าน

ใยแก้วหุ้มผ้า

– มีคุณสมบัติในการดูดซับเสียงได้ดีกว่าโฟม โดยเฉพาะเสียงความถี่ต่ำ แต่ติดตั้งยากกว่า ราคาสูงกว่า และอาจมีเศษใยแก้วฟุ้งกระจายในอากาศ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับห้องขนาดใหญ่ เช่น ห้องประชุม หรือโฮมเธียเตอร์

แผ่นแร่ใยหิน

– ให้ประสิทธิภาพการดูดซับเสียงใกล้เคียงกับใยแก้ว แต่ทนความร้อนได้ดีกว่า เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง อย่างไรก็ตาม ควรระวังในการติดตั้งและใช้งาน เพราะแร่ใยหินอาจเป็นอันตรายได้หากสูดดมเข้าไปในปริมาณมาก

นอกจากชนิดของวัสดุแล้ว การเลือกความหนาของแผ่นซับเสียงก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยทั่วไปแผ่นซับเสียงที่มีความหนามากกว่าจะช่วยดูดซับเสียงได้ดีกว่า ก็จะทำให้ใช้พื้นที่ติดตั้งมากกว่าด้วย ผู้อ่านควรเลือกความหนาให้เหมาะสมกับขนาดห้องและงบประมาณที่มี สุดท้ายนี้ อย่าลืมคำนึงถึงความสวยงามและความกลมกลืนกับการตกแต่งภายในด้วย ปัจจุบันแผ่นซับเสียงมีให้เลือกหลากหลายสีสันและลวดลาย สามารถเลือกให้เข้ากับสไตล์การตกแต่งห้องได้ไม่ยาก

 

พิจารณาความหนาและขนาดของแผ่นซับเสียง

[รูป]

นอกจากชนิดของวัสดุแล้ว ความหนาและขนาดของแผ่นซับเสียงก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดูดซับเสียง โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งแผ่นซับเสียงมีความหนามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดูดซับเสียงได้ดีมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเลือกความหนาของแผ่นซับเสียงก็ต้องคำนึงถึงขนาดของห้องตำแหน่งการติดตั้งและงบประมาณด้วย แผ่นซับเสียงที่หนาเกินไปและติตตั้งมากเกินไปอาจจะดูเทอะทะและกินพื้นที่ ในขณะที่แผ่นบางเกินไปก็อาจจะดูดซับเสียงได้ไม่ดีพอ เราขอแนะนำความหนาที่เหมาะสมสำหรับห้องแต่ละประเภท ดังนี้

– ห้องนอน หรือห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก: แผ่นซับเสียงหนา 1-1.5 นิ้ว
– ห้องประชุมขนาดกลาง หรือห้องอัดเสียงส่วนตัว: แผ่นซับเสียงหนา 1.5-2 นิ้ว
– ห้องประชุมขนาดใหญ่ หรือโฮมเธียเตอร์: แผ่นซับเสียงหนา 2-3 นิ้ว

ส่วนเรื่องขนาดของแผ่นนั้น ยิ่งแผ่นมีขนาดใหญ่ พื้นที่ผิวในการดูดซับเสียงก็จะมากขึ้น แต่การติดตั้งอาจจะยากและเปลืองพื้นที่กว่า หากห้องมีขนาดไม่ใหญ่มาก ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกความหนาและขนาดให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง และไม่ลืมคำนึงถึงงบประมาณที่มีด้วย

 

เลือกลายและรูปทรงของแผ่นซับเสียงให้เหมาะสม

[รูป]

นอกจากการเลือกวัสดุ ความหนา และขนาดของแผ่นซับเสียงแล้ว ลายและรูปทรงของแผ่นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะมีผลต่อประสิทธิภาพการดูดซับเสียงแล้ว ความสวยงามและความกลมกลืนกับการตกแต่งห้องอีกด้วยก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ลายและรูปทรงของแผ่นซับเสียงที่ได้รับความนิยมมีอยู่หลายแบบ เช่น ลายวี ลายปิรามิด ลายคลื่น หรือลายตารางสี่เหลี่ยม แต่ละแบบมีจุดเด่นแตกต่างกันไป เรามาดูกันว่าลายไหนเหมาะกับการใช้งานแบบไหนบ้าง

ลาย วี

– เป็นลายยอดนิยมที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด เพราะมีคุณสมบัติในการกระจายคลื่นเสียงได้ดี ทำให้เสียงที่ได้มีความชัดเจนและสมดุล การติดตั้งสลับลายง่าย ไม่เห็นรอยต่อแผ่นมากนัก เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความเป็นธรรมชาติของเสียง เช่น ห้องอัดเสียงหรือห้องดนตรี

ส่วนลายปิรามิด

– จะมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซับเสียง จึงมีประสิทธิภาพในการลดเสียงสะท้อนและเสียงก้องได้ดีกว่าลายวี เหมาะสำหรับห้องที่มีปัญหาเรื่องเสียงสะท้อนรบกวน เช่น ห้องประชุมหรือโฮมเธียเตอร์ ห้องอัดเสียงหรือห้องดนตรี

ลายลอนรังไข่

– เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยรูปทรงที่เป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ ช่วยช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซับเสียงเหมือนลายปิรามิด แต่จากการผลิตที่ง่ายทำให้มีราคาไม่สูงนัก ข้อเสียคือจะเห็นรอยต่อระหว่างแผ่นชัดเจน เหมาะกับการติดตั้งในที่ที่ไม่ได้ถ่ายทอดภาพ และห้องที่ต้องการทำในงบประหยัดแต่ยังได้การซับเสียงที่มีประสิทธิภาพสูง

ลายตารางสี่เหลี่ยมหรือแผ่นเรียบ

– จะดูเรียบง่ายแต่ทันสมัย แต่ด้วยพื้นที่ผิวที่น้อยกว่าลายอื่นๆ จะไม่เน้นการดูดซับหรือกระจายเสียงมากนัก แต่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ชอบความมินิมอลและเน้นการตกแต่งเป็นหลัก

 

คำนวณปริมาณแผ่นซับเสียงที่ต้องใช้ให้พอดี

[รูป]

หลังจากเลือกวัสดุ ความหนา ขนาด และลวดลายของแผ่นซับเสียงได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการคำนวณปริมาณแผ่นซับเสียงที่ต้องใช้ให้พอดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะนอกจากจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดูดซับเสียงแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณในการตกแต่งห้องอีกด้วย

วิธีคำนวณปริมาณแผ่นซับเสียงที่ต้องใช้

เริ่มจากการวัดขนาดของห้องทั้งความกว้าง ความยาว และความสูง จากนั้นให้คำนวณพื้นที่ผิวของผนังและเพดานทั้งหมดในห้อง โดยใช้สูตร

(ความกว้าง x ความสูง x 2) + (ความยาว x ความสูง x 2) + (ความกว้าง x ความยาว)

เมื่อได้พื้นที่ผิวทั้งหมดแล้ว

ให้คำนวณหาพื้นที่ที่ต้องการติดตั้งแผ่นซับเสียง โดยทั่วไปแล้ว เราแนะนำให้ติดตั้งแผ่นซับเสียงประมาณ 60%-70% ของพื้นที่ผิวผนังและเพดานทั้งหมด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการดูดซับเสียงที่ดี แต่ไม่ต้องปิดทึบจนเกินไป เช่น ถ้าห้องมีพื้นที่ผิว 100 ตารางเมตร ควรติดตั้งแผ่นซับเสียงประมาณ 60-70 ตารางเมตร โดยกระจายให้ทั่วผนังและเพดาน

เมื่อทราบพื้นที่ติดตั้งที่ต้องการแล้ว

ให้นำมาหารด้วยขนาดของแผ่นซับเสียงที่เลือกไว้ เช่น ถ้าเลือกแผ่นขนาด 60×60 ซม. แผ่นหนึ่งจะมีพื้นที่ 0.36 ตารางเมตร

ดังนั้น : ถ้าต้องการติดตั้ง 60 ตารางเมตร ก็ต้องใช้แผ่นซับเสียงทั้งหมด 60 / 0..36 = 167 แผ่น ให้ซื้อเผื่อตัดเข้ามุมอะไรต่างๆไว้ 5-10% เช่น ซื้อเผื่อไว้ 10 แผ่น

 

ติดตั้งแผ่นซับเสียงในตำแหน่งที่เหมาะสม

[รูป]

เมื่อเลือกแผ่นซับเสียงได้แล้ว ก็ถึงเวลาลงมือติดตั้ง แต่จะติดตรงไหนดีล่ะ? ให้เหมาะสม จริงๆแล้วตำแหน่งการติดตั้งก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะมีผลต่อประสิทธิภาพในการดูดซับเสียงเช่นกัน เรามีเคล็ดลับดีๆมาฝากกัน

ตำแหน่งแรกที่แนะนำคือมุมห้อง

เพราะเป็นจุดที่เสียงชอบไปสะสมและสะท้อนกันหลายรอบ การติดแผ่นซับเสียงตรงมุมจะช่วยลดปัญหาเสียงก้องและเสียงสะท้อนได้ดีทีเดียว

อีกตำแหน่งที่สำคัญคือผนังด้านหลังลำโพง

เพราะเสียงจากลำโพงมักจะพุ่งไปชนผนังแล้วสะท้อนกลับมา ทำให้เกิดเสียงซ้อนทับและผิดเพี้ยนได้ การติดแผ่นซับเสียงตรงนี้จะช่วยดูดซับเสียงส่วนเกินเหล่านั้นไว้

ผู้อ่านควรสังเกตจุดที่มีการสะท้อนเสียงในห้องด้วย

วิธีง่ายๆคือให้เดินรอบๆห้องแล้วเปล่งเสียงดังๆ บริเวณไหนที่ได้ยินเสียงสะท้อนชัดเจน ก็ให้ติดแผ่นซับเสียงเพิ่มตรงนั้น

ส่วนเทคนิคการติดตั้งนั้นก็ไม่ยาก

แต่ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันแผ่นหลุดล่อนในภายหลัง ให้เริ่มจากการทำความสะอาดและเช็ดผนังให้แห้งสนิท จากนั้นใช้กาวสองหน้าชนิดแรงยึดสูงติดที่ด้านหลังของแผ่นซับเสียง แล้วค่อยๆแปะลงบนผนังให้เรียบและสม่ำเสมอ เมื่อติดแผ่นซับเสียงครบแล้ว อย่าลืมเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง หากมีแผ่นไหนบิดงอหรือมีช่องอากาศ ให้รีบแก้ไขทันที เพื่อให้ผนังเรียบสวยและแผ่นไม่หลุดง่าย

บทสรุป

เห็นไหมว่าการเลือกและติดตั้งแผ่นซับเสียงไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแค่เลือกวัสดุ ความหนา ขนาด และลวดลายให้เหมาะสม คำนวณปริมาณให้พอดี และติดตั้งในตำแหน่งที่ถูกต้อง ก็จะช่วยให้ห้องของผู้ได้ใช้งานอย่างที่ต้องการได้ ไร้เสียงสะท้อนและเสียงก้องรบกวน ผู้เขียนหวังว่าเทคนิคที่แนะนำไปจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งให้ลองนำไปปรับใช้กับห้องของตัวเองกันดู สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามบทความจนจบ หวังว่าจะชอบและได้ประโยชน์จากบทความนี้กันถ้วนหน้า แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *